Supply Chain Management (SCM)
การแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ (New Economy) ที่ความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้ประกอบการยังมุ่งแสวงหากำไรสูงสุด ต้องการต้นทุนการผลิตต่ำ ผลิตในปริมาณที่เหมาะสม และทันตามความเปลี่ยนแปลงของลูกค้า ดังนั้นการบริหารงานขององค์กรธุรกิจจึงต้องมีความสามารถในการบริหารงานและ ดำเนินงานเพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นและอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจ Supply Chain Management (SCM ) จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนทั้งในด้านทรัพย์สิน บุคลากร หรือเทคโนโลยีต่างๆ ที่อาจเกิดความเสื่อมค่าล้าสมัยได้ตลอดเวลา
ดัง นั้นการนำเครื่องมือเข้ามาช่วยในการบริหารภายในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพ นั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และเครื่องมือที่สามารถช่วยผู้ประกอบการในภาวะการแข่งขันในปัจจุบันได้เป็น อย่างดีก็คือ ระบบ Supply Chain Management (SCM) ซึ่งเป็นระบบการบริหารที่มีแนวคิดที่มุ่งเน้นความสอดคล้องสัมพันธ์กันอย่าง ต่อเนื่อง เป็นระบบการบริหารที่สนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ด้วยการบริหารจัดการให้หน่วยงาน supplier ทั้งภายในและภายนอก สามารถส่งมอบสินค้า/ชิ้นงานให้กับหน่วยงานถัดไปได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งผลิตเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ส่งถึงมือลูกค้าได้ตามที่ลูกค้าต้องการ
ในฐานะที่ประเทศไทยมีผู้ ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่เป็นจำนวนมากในอุตสาหกรรมที่สำคัญๆ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังและรองเท้า และอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้มีลักษณะเหมาะที่จะนำระบบ Supply Chain Management เข้ามาช่วยในการบริหารธุรกิจคือ
เป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง
ความต้องการสินค้าของลูกค้ามีความหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ
ผลิตภัณฑ์ /สินค้ามีวงจรชีวิตสั้น จะเห็นได้ว่าการนำระบบ การจัดการ Supply Chain เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขัน ได้ในตลาดโลก โดยเฉพาะการแข่งขันเพื่อครองตลาดต่างประเทศให้ได้ในอนาคต
ปัจจุบันระบบ Supply Chain Management ถูกพัฒนาให้มีการบริหารที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น โดยนำคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นเครื่องช่วยสำคัญ เรียกว่า ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning)
มีบริษัทขนาดใหญ่หลายรายได้นำระบบนี้ เข้ามาใช้งาน โดยหลักการเบื้องต้นของ Supply Chain Management เป็นเรื่องของการจัดการวัตถุดิบเป็นหลักก่อน ต่อมาก็จะเป็นเรื่องของการดูแลสินค้าคงคลัง และเป็นที่นิยมมากขึ้น จนเป็นเรื่องของการตอบสนองลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และทั้งหมดจะใช้บาร์โค้ดเป็นตัวหลักเพื่อเป็นการประหยัดเวลา เพราะหากสต็อกของผู้ที่รับสินค้าเราไปขายหมดลงเมื่อไหร่ระบบ Supply Chain จะแจ้งเราทันทีทางคอมพิวเตอร์ และแจ้งต่อไปยังซัพพลายเออร์ที่ขายวัตถุดิบให้กับเรา ส่งต่อไปให้โกดังที่ทำกล่องกระดาษบรรจุสินค้าเราโดยจะส่งต่อไปหมดทุกที่ เช่นหากมีคนไปซื้อสินค้าของเราในห้างสรรพสินค้า เมื่อไปถึงแคชเชียร์ แคชเชียร์อ่านรหัสบาร์โค้ด ระบบก็จะตัดสต็อกทันที ซึ่งระบบจะเป็นแบบนี้ตลอดไปทำให้ง่ายต่อการควบคุมสต็อกและการทำงาน จึงสามารถลดต้นทุนค่าแรงงานคนงาน ค่าจ้างพนักงานขายและต้นทุนอื่นๆ ได้อีกมาก
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการนำระบบ Supply Chain Management มาใช้บริหารงานภายในองค์กรนั้น
ต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค เพราะเป็นลูกค้าที่ซื้อของเรา
จะขายของต้องบอกผู้ที่จะรับซื้อให้ชัดเจน มีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
การก ระจายสินค้าออกไปทั่วทุกแห่งนั้น ต้องมีศูนย์การจัดจำหน่ายสินค้าอยู่จุดเดียว และการจัดทำต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน และเข้าใจคนซื้อของท่านก่อนตลอดจนต้องเข้าใจคนที่จะขายของให้ท่านด้วย
พื้น ฐานของ Supply Chain คือจะจัดการอย่างไรให้เราเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายหรือลดต้นทุนให้ได้มาก ที่สุด ซึ่งการลดค่าใช้จ่ายท่านต้องคาดการณ์ยอดขายในแต่ละเดือน ซึ่งเป็นเรื่องของเวลาที่จะต้องเก็บข้อมูลย้อนหลัง ท่านก็ต้องทำการสำรวจสต็อกโดยเช็คว่ามีความถี่ในการขายมากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างการนำ Supply Chain Management เข้ามาช่วยทำให้ธุรกิจมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เช่น เมื่อท่านสต็อกของอยู่ 20,000 ชิ้น ถึง 40,000 ชิ้น เพราะเผื่อขายได้ และไม่รู้ว่าลูกค้าจะเรียกซื้อเมื่อไหร่ และหากทุกคนเก็บสต็อกไว้เกินความจำเป็นไป 50% เท่ากับว่าทุกคนเอาเงินไปกองอยู่และจมอยู่ที่สต็อก ฉะนั้นต้นทุนของคนขายวัตถุดิบก็ไม่สามารถลดให้ท่านได้ ขณะเดียวกันเมื่อท่านเป็นผู้ผลิตท่านก็ลดราคาให้กับผู้ซื้อไม่ได้ เพราะต้นทุนของท่านสูงอยู่ Supply Chain management จะสามารถช่วยท่านได้ในประเด็นนี้ได้
ดังนั้นเมื่อผู้ประกอบการเอสเอ็ มอีนำระบบ Supply Chain Management เข้ามาช่วยในการบริหารงานจะทำให้สามารถลดต้นทุนได้ และสามารถลดเวลาการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีสินค้าตอบสนอง
ผู้ ซื้อและผู้ขายได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างมาก และเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปก็ต้องเปลี่ยนตาม เช่น มีการออกสินค้าใหม่ มีบริการให้ดีขึ้น ทำให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคมีความพึงพอใจสูงสุด เพราะสินค้าสามารถไปถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว
ข้อควรจำสำหรับการ ทำ Supply Chain Management อย่างมีประสิทธิภาพ คือ1) ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 2) ปรับกระบวนการในการทำงาน 3) แบ่งกลุ่มสินค้าให้ชัดเจน 4) ร่วมมือกับทางซัพพลายเออร์ (ที่มา คุณสรยุทธ วัฒนวิสุทธิ์ , "การบริหาร Supply Chain เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร",SMEs สร้างไทยมั่นคง )
ความหมายของซัพพลายเชน
การจัดการซัพพลายเชนหรือการจัดการห่วงโซอุปทาน เป็นการจัดลำดับของกระบวนการทั้งหมดที่มีต่อการสร้างความพอใจให้กับลูกค้า โดยเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อ (Procurement) การผลิต (Manufacturing) การจัดเก็บ (Storage) เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) การจัดจำหน่วย (Distribution) และการขนส่ง (Transportation) ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะจัดระบบให้ประสานกันอย่างคล่องตัว
นอกจากนี้ การจัดการซัพพลายเชนไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กรเท่านั้น แต่ที่สำคัญจะสร้างความสัมพันธ์เชื่อมต่อกับองค์กรอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ผู้จัดหาวัตถุดิบ/สินค้า (Suppliers) บริษัทผู้ผลิต (Manufactures) บริษัทผู้จำหน่าย (Distribution) รวมถึงลูกค้าของบริษัท จึงเป็นการเชื่อมโยงกระบวนการดำเนินธุรกิจทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องด้วยกัน เป็นห่วงโซ่หรือเครือข่ายให้เกิดการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้า/บริการ สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า แต่ละหน่วยงานจึงมีความเกี่ยวเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่
ในห่วงโซ่อุปทานนั้นข้อมูลต่าง ๆ จะมีการแชร์หรือแจ้งและแบ่งสรรให้ทุกแผนก/ทุกหน่วยงานในระบบรับทราบและใช้ งาน ทำให้หน่วยงานแต่ละหน่วยงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ในการประกอบรถยนต์หนึ่งคัน แผนกจัดซื้อจะจัดซื้อวัตถุดิบหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ น้ำมันเครื่อง แบตเตอรี่ ยางรถยนต์ เป็นต้น
เมื่อสั่งซื้อเสร็จ อุปกรณ์ดังกล่าวจะเก็บให้ในคลังสินค้า เพื่อรอฝ่ายการผลิตรถยนต์นำไปผลิตรถยนต์ตามที่ต้องการ และถ้าองค์กรนี้มีระบบการจัดการซัพพลายเชนที่ดี แผนกต่าง ๆ มีการแชร์หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันจะทำให้การสั่งซื้อวัตถุดิบเป็นไปด้วยความ ถูกต้องและเป็นระบบ
กระบวนการต่างๆ ใน Supply Chain ประกอบด้วย
กระบวนการบริการเสริมการตลาด (Customers Promotion) และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM : Customers Relationship Management)
การคาดคะเนยอดขาย (Sale Forecasting)
การวางแผนการผลิตและจำหน่าย (Production & Distribution Planning)
การรับคำสั่งซื้อ (Full fill Order)
การ จัดซื้อ จัดจ้าง (Procurement) เป็นกิจกรรมที่เริ่มต้นตั้งแต่การเลือกแหล่งผลิตหรือแหล่งที่จะซื้อ กำหนดระยะเวลาในการจัดซื้อ จนถึงการกำหนดปริมาณและคุณภาพของวัตถุดิบหรือสินค้าอื่นๆที่จะจัดซื้อ
การวางแผนการผลิตแบบ Real Time
การ บรรจุหีบห่อ (Packaging) การบรรจุหีบห่อมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาและคุ้มครองสภาพของสินค้าและบริการ ให้อยู่ในสภาพที่ดี และเกิดความเสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คลังสินค้า (Warehouse) และการกระจายสินค้า (Distribution)
ตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้า (Sale Agent) หรือตัวแทนผู้ขาย
การจัดการด้านเคลื่อนย้ายและขนส่ง (Moving & Transportation)
การจัดการความสัมพันธ์ด้านอุปทาน หรือ SRM : Supplier Relationship Management
การจัดการข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับด้าน อุปสงค์และอุปทาน
เป้าหมายหรือ Vision ของ Supply Chain
ลด ต้นทุนรวมของสินค้า โดยเลือกดำเนินกิจกรรมที่เน้นความสามารถหลักของธุรกิจ (Core Competency) โดยเน้นการกระจายต้นทุนหรือ Share Costing ไปให้กับการจัดจ้างจากภายนอกที่เรียกว่า Outsourcing
เพิ่มศักยภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขัน (Core Competitiveness)
เพิ่ม Productivity ในการผลิต และ บริการ โดยใช้หลักการ Speech Delivery
สร้างพันธมิตรร่วมในการดำเนินธุรกิจแบบ Win-Win Business
สร้างความพอใจให้กับลูกค้าอย่างยั่งยืน
เพิ่มมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการของแต่ละกระบวนการในโซ่อุปทาน
พันธกิจ (Mission) ของ Supply Chain จะประกอบด้วย
การวางแผน และการออกแบบโซ่อุปทาน
การดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ อย่างเป็นบูรณาการ
มุ่งบรรลุผลในด้านตอบสนองความต้องการของลูกค้า
มุ่งส่งเสริมและสร้างความสัมพันธ์เชิงระบบและการสอดประสานในแต่ละรอยต่อของกระบวนการ
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัย ยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความเร็วและการลดต้นทุนรวม
การกระจายต้นทุน (Cost Sharing) และการแบ่งงานตามความถนัด (Division of Labour and Specialization)
มุมมองของผู้เขียนแต่เดิมนั้น ก็มองมิติของ Supply Chain Management (SCM) ในรูปแบบที่เป็นอนุกรม (Alphabetical) คือ แต่ละกระบวนการในห่วงโซ่อุปทานจะมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่มีการเรียงลำดับ ตามขั้นตอน ซึ่งนักวิชาการโลจิสติกส์ส่วนใหญ่จะใช้คำว่า “โซ่อุปทาน”แต่ผู้เขียนชอบที่ใช้คำว่า “ห่วงโซ่อุปทาน” คือ แต่ละกระบวนการจะมีลักษณะของความสัมพันธ์ที่สอดคล้องเป็นบูรณาการ (Integration) ที่เป็นทั้งแบบแนวตั้ง (Vertical) และแบบที่เป็นแนวนอน (Horizontal) ซึ่งอนุกรมมีความหมายว่า “เรียงลำดับตามกันไป” คือเป็นแบบเส้นตรง คือ ห่วงโซ่อุปทานจะเกี่ยวพันต่อเนื่องกัน ทำให้ส่วนหัวของห่วงโซ่ คือ กระบวนการจัดซื้อไม่มีการสอดร้อยกับปลายของห่วงโซ่ก็คือกระบวนการจัดส่ง สินค้าให้กับลูกค้า ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าการจัดการ Supply Chain Management (SCM)ไม่ควรมีลักษณะการปฏิสัมพันธ์เป็นแบบนั้น แต่ควรเป็นปฏิสัมพันธ์แบบวงแหวน (Annular Reaction) ที่ส่วนหัวของโซ่อุปทาน จะสอดร้อยกับส่วนปลายโซ่ของโซ่อุปทาน ทำให้กระบวนการตลาดเริ่มต้นที่ลูกค้าและสิ้นสุดที่ลูกค้า เพราะการปฏิสัมพันธ์แบบที่ส่วนหัวและส่วนปลายไม่มีปฏิสัมพันธ์กันจะทำให้ ความบูรณาการของ Supply Chain ไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนจัดซื้อโดยเฉพาะวัตถุดิบ (Raw Material) จะต้องปฏิสัมพันธ์กับกระบวนการคาดคะเนความต้องการขาย (Sale Forecasting) ซึ่งจะได้ข้อมูลจากกระบวนการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า เพราะมีความใกล้ชิดที่สุด ทำให้เป็นการผลิตเพื่อขายไม่ใช่ผลิตเพื่อมาเก็บสินค้าคงเหลือ ซึ่งจะทำให้ กิจกรรมขององค์กรครอบคลุม Source of Origin to source of consumer ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำนิยาม Supply Chain ดังนั้นที่ถูกต้องความสัมพันธ์ของกระบวนการใน SCM ควรจะต้องเป็นแบบวงแหวน
กลยุทธ์ของการจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) จะประกอบด้วยกิจกรรม ดังนี้
การวางแผนและการควบคุม การไหลของวัตถุดิบ จากผู้จัดส่งวัตถุดิบ (Supplier Flow) ไปยังผู้ผลิตและผู้กระจายสินค้าไปยังผู้บริโภค
กิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาวัตถุดิบและสินค้าเป็นด้วยความรวดเร็วเพื่อให้เกิด การไหลของทั้งวัตถุดิบ และข้อมูลระหว่างคู่ค้า (Vendors Speech Flow) กับผู้ผลิต ซึ่งมีระบบการจัดการผลิตแบบ Economic of Speech (Production Flow) และการกระจายสินค้า ไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างทันเวลา Real Time Distribution
กิจกรรมต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับการวางแผนการตลาด การประสานการทำงานร่วมกันหน่วยงานอื่นๆเพื่อให้สินค้ามีการไหลไปสู่ผู้ บริโภคได้อย่างทันเวลา
ใช้การจัดการแบบบูรณาการในการใช้โซ่ของการ เชื่อมต่อกันของกิจกรรมต่างๆ ของกระบวนการผลิตและกระบวนการไหลของอุปทาน (Supply) ตั้งแต่วัตถุดิบจนไปถึงผู้บริโภค
การประสานรวมกระบวนการทาง ธุรกิจ ที่ครอบคลุมจากผู้จัดส่งวัตถุดิบผ่านระบบธุรกิจอุตสาหกรรมไปสู่ผู้บริโภค ขั้นสุดท้าย โดยมีการส่งผ่านผลิตภัณฑ์การบริการและข้อมูลสารสนเทศควบคู่กันไป
การสร้างคุณค่าเพิ่มในตัวผลิตภัณฑ์ การนำเสนอมูลค่าเพิ่มสู่ผู้บริโภคขั้นสุดท้าย
ที่มา: INTERTRANSPORT LOGISTICS ปีที่ 3 ฉบับที่ 63 วันที่ 1-15 มิถุนายน 2546 หน้า 4
เผยแพร่ออกอากาศทางสถานีวิทยุแห่งจุฬาฯ: วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2546
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น